วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2554

พ่อมหาอยู่ สุนทรธัย

ที่อยู่ที่บ้านตะแบก ต.สลักได อ.เมือง จ.สุรินทร์

หลังจบชั้น ป.๔ จากโรงเรียนสุรวิทยาคม เขาได้มาช่วยพ่อแม่ทำนาอยู่ช่วงหนึ่ง แล้วจึงได้บวชเรียนที่วัดจุมพลสุทธาวาส จ.สุรินทร์ ต่อมาจึงย้ายไปอยู่ที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ กรุงเทพมหานคร จนสอบได้นักธรรมชั้นเอก และเปรียญธรรม ๓ ประโยคในปี พ.ศ.๒๔๘๖

ช่วงที่บวชเรียนอยู่ที่กรุงเทพฯ นั้นนับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของมหาอยู่ เนื่องจากในระหว่างที่ออกบิณฑบาตและรับนิมนต์ในละแวกนั้น ท่านได้พบเห็นชาวสวนแถวๆ ฝั่งธนบุรีและนนทบุรี ปลูกพืชแบบยกร่อง มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นร่มรื่นเต็มไปหมด ใบไม้ที่ร่วงผุและเน่าเปื่อยเป็นปุ๋ยธรรมชาติ ขี้โคลนที่ลอกขึ้นมาจากท้องร่อง เมื่อนำมากลบโคนต้นไม้ก็กลายเป็นปุ๋ยอย่างดี นับเป็นการออมความอุดมสมบูรณ์ของดิน โดยไม่จำเป็นต้องซื้อปุ๋ยเคมีมาใช้
ในเวลานั้นแนวคิดเรื่องการทำเกษตรกรรมแบบยั่งยืน หรือเกษตรอินทรีย์ยังไม่เป็นที่รู้จักเหมือนในปัจจุบัน แต่มหาอยู่ท่านก็เกิดความประทับใจในวิถีการเกษตรดั้งเดิมของชาวสวนดังกล่าว จนตั้งใจว่าจะนำกลับมาใช้ที่บ้านเกิด
เมื่อกลับมาเยี่ยมโยมพ่อโยมแม่ที่จังหวัดสุรินทร์ พบว่าท่านทั้งสองชราภาพมากแล้ว อีกทั้งยังต้องลำบากตรากตรำทำงาน ท่านจึงเกิดความสงสารและได้ตัดสินใจสึกออกมาช่วยพ่อแม่ทำนา ซึ่งสภาพดินฟ้าอากาศของภาคอีสานนั้นแห้งแล้งอย่างหนัก พ่อมหาอยู่ได้ประสบความแห้งแล้งมาโดยตลอด ต้องเดินทางไปหาบน้ำจากที่ไกลๆ เพื่อหาน้ำมาใช้ จึงทำให้เกิดแรงบันดาลใจที่จะต่อสู้กับความความแห้งแล้ง และได้ตั้งปณิธานมุ่งมั่นขุดบ่อ ทำฝายกั้นน้ำ โดยใช้กำลังของตนเอง จนกระทั่งต่อมาได้มีสระน้ำจำนวนมาก สามารถกักเก็บน้ำไว้ตลอดปี

การเดินทางจากโลกนี้ไปด้วยอาการอันสงบในช่วงเช้าวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๐ ของพ่อมหาอยู่ สุนทรธัย ปราชญ์ชาวบ้านอาวุโสแห่งจังหวัดสุรินทร์ วัย ๘๘ ปี http://www.esaanvoice.net/esanvoice/know/show.php?Category=topreport&No=1607




ไม่มีความคิดเห็น: