โลกร้อนเป็นเรื่องไม่จริง เป็นเรื่องหลอกลวง โดย น.พ.โชติช่วง ชุตินธร |
รื่องสนธิสัญญาโลกร้อน Treaty on Global Warming or Climate Change วันที่11-22 พ.ย 2556 ที่กรุงวอซอร์ประเทศโปแลนด์ เป็นการหลอกลวงและบิดเบือนข้อมูลอีกครั้งหนึ่ง
สิบหก ปีที่ผ่านมาโลกไม่ได้ร้อนขึ้น Lord Monckton แถลงในที่ประชุมสหประชาชาติ U.N. Climate Change -Doha เมื่อ ธันวาคม 2555 Link 1, Link 2
ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์อเมริกา กว่า 31,000 คน ยืนยันว่าโลกไม่ได้ร้อนขึ้นจาก CO2 จากฝีมือมนุษย์ ปัจจุบันเราไม่มีหลักฐานยืนยันว่าภาวะโลกร้อนเป็นจริง หรือโลกร้อนเพราะ CO2 โดยที่เกิดจากมนุษย์ เพราะฉะนั้นเรา ไม่มีปัญหา โลกร้อน
Climate-gate (ไคลเมทเกต) คือการเปิดเผยการหลอกลวงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
หนังสือพิมพ์ Telegraph ของอังกฏษ ลงพิมพ์ว่าเป็นเรื่องอื้อฉาวและน่าอับอายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุควิทยาศาสตร์
ใน ปี 2552 มีข่าวไคลเมทเกต (Climate-gate) เกี่ยวกับการบิดเบือนข้อมูลหรืออุปโลกน์ข้อมูลเพื่อลวงโลกและผิดจรรยาบรรณของนักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัย University of East Anglia (Climate Research Unit) ของประเทศอังกฤษที่ทำงานวิจัยเกี่ยวกับภาวะอากาศที่จะทำให้โลกร้อนถูกเปิดเผยเพราะคอมพิวเตอร์ของหน่วยงานวิจัยเกี่ยวกับภาวะอากาศ (CRU) ถูกล้วงข้อมูลหรือถูกแฮค (hacked) และเอา e-mail ออกมาเผยแพร่ทั่วโลกพันกว่าฉบับซึ่งเปิดเผยว่านักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นผิดจรรยาบรรณโดยใช้วิธีปกปิดและบิดเบือนข้อมูลและทำลายข้อมูล และกลั่นแกล้งกีดกันนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่เห็นด้วยว่าโลกจะร้อนเพราะมนุษย์
ที่ผ่านมาสหประชาชาติก็นำข้อมูลที่บิดเบือนเหล่านี้ไปใช้อ้างอิงพิสูจน์ว่ามนุษย์เป็นคนทำให้โลกร้อนและจะเกิดภัยพิบัติร้ายแรงตามมา การนำข้อมูลที่ถูกบิดเบือนคลาดเคลื่อนมายืนยันว่ามีปัญหาจึงไม่ถูกต้อง ยิ่งไปกว่านั้น ทางสหประชาชาติกำลังจะหาทางแก้ปัญหาด้วยการออกกฏหมายสนธิสัญญามาบังคับผู้คนทุกประเทศทั่วโลกให้ใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลเพื่อลดก๊าซคาร์บอนหรือชดเชยกับการปล่อยก๊าซคาร์บอน (carbon tax for carbon debt) ซึ่งจะเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณโดยไม่จำเป็นเพราะเราสร้างปัญหาจากข้อมูลที่ผิดๆ และต้องเสียเงินมหาศาล
สหประชาชาติกล่าวว่าโลกจะร้อนขึ้นเพราะเกิดจาก CO2 และก๊าซเรือนกระจก แต่ความเป็นจริง 16 ปีที่ผ่านมานี้ โลกไม่ได้ร้อนขึ้น ตามงานวิจัย มนุษย์ไม่ได้ทำให้โลกร้อนมาก เพิ่มเพียง 1 – 2 องศาฟาเรนไฮด์ในอีก 100 ปีข้างหน้า www.cfact.org
ในยุคกลางของประวัติศาสตร์มีอยู่ช่วงหนึ่งเรียกว่า Medieval Warm Period ซึ่งมีความร้อนสูงกว่าปัจจุบันซึ่งนักวิทยาศาสตร์ก็ยอมรับว่าเป็นความจริง สมัยนั้นยังไม่มีการปฏิวัติอุตสาหกรรมยังไม่มีโรงงานปล่อยก๊าซคาร์บอน ไม่มีรถยนต์ ไม่มีการใช้เชื้อเพลิงที่มาจากถ่านหิน แต่โลกก็มีภาวะร้อนกว่าปัจจุบัน เพราะฉะนั้นการที่โลกร้อนขึ้นหรือเย็นลง เป็นเพราะความเปลี่ยนแปลงตามวงจรของธรรมชาติ หรือการเปลี่ยนแปลงของดวงอาทิตย์ เช่น solar flares และระยะทางความห่างของดวงอาทิตย์กับโลก ไม่เกี่ยวกับการปล่อยก๊าซคาร์บอนหรือ co2 ที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์
เราถูกหลอกว่าโลกร้อนจะทำให้หมีโพลาน้อยลงหรือสูญพันธุ์ จริงๆแล้วมีงานวิจัยรายงานว่า 40 ปี ที่ผ่านมาหมีโพลาไม่ได้น้อยลง แต่กลับมีมากขึ้น
จากภาพที่เห็นในข่าวโทรทัศน์ว่าก้อนน้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือจำนวนมหึมากำลังจะละลายเป็นน้ำอย่างน่ากลัวและจะทำให้น้ำท่วมชายฝั่งและทำให้เกาะต่าง ๆ สูญหายไปและน้ำจะท่วมทั่วไปหมดซึ่งข่าวเหล่านี้ทำให้ผู้คนตื่นตระหนก แต่ความจริงแล้ว ก้อนน้ำแข็งขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ไม่ได้น้อยลง แต่บางช่วงบางเวลาอาจจะมีละลายบ้างและน้ำแข็งเพิ่มขึ้นบ้างตามวงจรของธรรมชาติ (University of Illinois - sea ice Link 1, Link 2, Link 3, Link 4, Link 5)
อะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย ถ้าเราไปลงนามเซ็นสนธิสัญญา (Treaty on Global Warming) กับสหประชาชาติเรื่องโลกร้อน อ่านบทความ “โลกร้อนจริงไหม” ของ น.พ. โชติช่วง ได้ที่www.doctorfreedom.com ประมาณ 4 ปีก่อน ผู้เขียนๆบทความนี้ (หนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการ วันที่ 24 ธันวาคม 2552 และ Manager Online วันที่ 23 ธันวาคม 2552) คาดการณ์ไว้ว่าสนธิสัญญาโลกร้อน ทำให้เกิดการเก็บภาษีคาร์บอนและ การเสียภาษีคาร์บอนจะทำให้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางแพงขึ้นและสิ่งของจะแพงขึ้นค่าครองชีพสูงขึ้น คนตกงานมากขึ้น ปัจจุบัน เป็นจริงแล้ว และอีกหลายๆอย่างที่วิเคราะห์ล่วงหน้าไว้กำลังจะเกิดขึ้นตามมา
1) E.U. ตกลงที่จะเก็บภาษีคาร์บอนกับเครื่องบินที่บินเข้า E.U. ทำให้ค่าเครื่องบินแพงขึ้นแต่ถูกเลื่อนไปเพราะหลายประเทศประท้วง 2)ประเทศไทยก็เตรียมจะขึ้นภาษีรถยนต์โดยการเก็บภาษีคาร์บอนแต่ชะงักชั่วคราวเพราะเกิดน้ำท่วมใหญ่เมื่อปลายปี 2011 3)ส่วนประเทศ Australia ตั้งแต่วันที 1 กรกฎาคม 2012 เริ่มเก็บภาษีคาร์บอนกับ 300 บริษัท (โรงงานอุตสาหกรรมผลิตเหล็ก เหมืองแร่ สายการบิน และอุตสาหกรรมผลิตพลังงานเชื้อเพลิงเป็นต้น) การเก็บภาษีคาร์บอนนี้ Tony Abbott หัวหน้าพรรคฝ่ายค้านกล่าวว่าวิธีนี้แพงและไม่จำเป็นและจะทำให้คนตกงานและค่าครองชีพจะสูงขึ้นและไม่ได้ช่วยสิ่งแวดล้อม นายโทนี่ให้คำมั่นสัญญาว่าถ้าได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีในป ี2513 นี้เขาจะคว่ำภาษีคาร์บอนอย่างแน่นอน
การประชุมที่ Warsaw, Doha, Mexico, Copenhagen และ Kyoto ต่างก็ มีวาระซ่อนเร้น (hidden agenda) การประชุมเรื่องสิ่งแวดล้อม(โลกร้อน)เป็นข้ออ้างที่ทำให้คนกลัวแล้วก็ลงนามในสนธิสัญญาซึ่งเขามีเป้าหมายจะจัดตั้ง ”รัฐบาลโลก” แบบเผด็จการด้วยการเก็บภาษีคาร์บอนทั่วโลกคือภาษีโลก world tax
สนธิสัญญาโลกร้อน (Treaty on Global Warming) มีอำนาจเหนือกว่ารัฐธรรมนูญของเรา สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทยที่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญไทยจะถูกยึดและทำลายและเราก็จะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของ ”รัฐบาลโลก” ซึ่งเป็นเผด็จการอย่างแน่นอน ถ้ารัฐบาลโลกมีอำนาจกำหนดและเก็บภาษี (เช่น ภาษีคาร์บอน) และควบคุมการใช้พลังงานและควบคุมดูแลสิ่งแวดล้อมซึ่งทั้งหมดนี้จะกระทบต่ออำนาจอธิปไตยของไทย (เพราะฉะนั้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ม. 190 จึงเป็นเรื่องที่อันตรายมาก เพราะขาดการตรวสจสอบของรัฐสภาและประชาชน )
สรุป เรื่องโลกร้อนจากการกระทำของมนุษย์จะทำให้เกิดภัยพิบัติเป็นเรื่องหลอกลวงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษนี้ ไม่มีหลักฐานยืนยันว่ามนุษย์ทำให้คาร์บอนหรือก๊าซ CO2 เพิ่มมากขึ้นจนสามารถเกิดภัยพิบัติ แต่มีหลักฐานจากงานวิจัยเพิ่มขึ้นมากมายโดยตลอดยืนยันว่าโลกร้อนเป็นเรื่องไม่จริง เป็นเรื่องหลอกลวง เช่น งานวิจัยของ MIT (Dr. Richard Lindzen) นักวิจัยที่มีชื่อเสียงด้านภูมิอากาศ โดยใช้เวลา 20 ปี วัดอุณหภูมิเก็บข้อมูลสรุปได้ว่าอุณภูมิของโลกเพิ่มขึ้นจาก ก๊าซ CO2 และก๊าซเรือนกระจกเพียง 1/6 ของตัวเลขที่สหประชาชาติเคยประกาศไว้สำหรับอีก 100 ปี ข้างหน้าอุณหภูมิจะ เพิ่มน้อยกว่า 2 องศา F ซึ่งเป็นตัวเลขที่น้อยมากไม่ต้องกลัวว่าโลกจะแตก
ประเทศไทยไม่ควรร่วมลงนามในสนธิสัญญาเกี่ยวกับ “โลกร้อน” เพราะเรื่อง “โลกร้อน”ไม่ใช่ปัญหาเพราะหากประเทศไทยร่วมลงนามแล้วจะยิ่งมีปัญหาเพราะจะเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจและอำนาจอธิปไตยของเรา และเป็นอันตรายต่อสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยของเรา
การเก็บภาษีคาร์บอนคือการหลอกลวงและขูดรีดเอาเงินภาษีจากประชาชนโดยอ้างว่าจะเอาเงินภาษีคาร์บอนไปแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม UN สหประชาชาติกำลังจัดประชุมเกี่ยวกับเ(ภาวะโลกร้อน) ซึ่งจริงๆแล้วไม่มีปัญหาเพราะ 16 ปีที่ผ่านมาโลกไม่ได้ร้อนขึ้น
น.พ.โชติช่วง ชุตินธร (อดีตประธานชมรมผู้บริโภคแห่งสยาม) 20/11/2013
อ้างอิง Link doctorfreedom.com www.cfact.orgwww.copenhagenclimatechallenge.org
www.climatedepot.com
www.scienceandpublicpolicy.org
โลกร้อนจริงไหม? Climate-gate
เขียนโดย น.พ. โชติช่วง ชุตินธร Dr. Chokchuang Chutinaton
Climate-gate (ไคลเมทเกต) คือการเปิดเผยการหลอกลวงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
หนังสือพิมพ์ Telegraph ของอังกถษ ลงพิมพ์ว่าเป็นเรื่องอื้อฉาวและน่าอับอายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุควิทยาศาสตร์สมัยใหม่
เดือนที่แล้วมีข่าวไคลเมทเกต (Climate-gate) เกี่ยวกับการบิดเบือนข้อมูลหรืออุปโลกน์ข้อมูลเพื่อลวงโลกและผิดจรรยาบรรณของนักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัย University of East Anglia (Climate Research Unit) ของประเทศอังกฤษที่ทำงานวิจัยเกี่ยวกับภาวะอากาศที่จะทำให้โลกร้อนถูกเปิดเผยเพราะคอมพิวเตอร์ของหน่วยงานวิจัยเกี่ยวกับภาวะอากาศ (CRU) ถูกล้วงข้อมูลหรือถูกแฮค (hacked) และเอา e-mail ออกมาเผยแพร่ทั่วโลกพันกว่าฉบับซึ่งเปิดเผยว่านักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นผิดจรรยาบรรณโดยใช้วิธีปกปิดและบิดเบือนข้อมูลและทำลายข้อมูล และกลั่นแกล้งกีดกันนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่เห็นด้วยว่าโลกจะร้อนเพราะมนุษย์
ที่ผ่านมาสหประชาชาติก็นำข้อมูลที่บิดเบือนเหล่านี้ไปใช้อ้างอิงพิสูจน์ว่ามนุษย์เป็นคนทำให้โลกร้อนและจะเกิดภัยพิบัติร้ายแรงตามมา การนำข้อมูลที่ถูกบิดเบือนคลาดเคลื่อนมายืนยันว่ามีปัญหาจึงไม่ถูกต้อง ยิ่งไปกว่านั้น ทางสหประชาชาติกำลังจะหาทางแก้ปัญหาด้วยการออกกฏหมายสนธิสัญญามาบังคับผู้คนทุกประเทศทั่วโลกให้ใช้งบประมาณจำนวนมากเพื่อชดเชยกับการปล่อยกาซคาร์บอน (carbon debt) ซึ่งจะเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณโดยไม่จำเป็นเพราะเราสร้างปัญหาจากข้อมูลที่ผิดๆ
สหประชาชาติกล่าวว่าโลกจะร้อนขึ้นเพราะเกิดจาก CO2 และก๊าซเรือนกระจก แต่ความเป็นจริง 9 ปีที่ผ่านมานี้ โลกเย็นลงไม่ได้ร้อนขึ้น ตามงานวิจัย มนุษย์ไม่ได้ทำให้โลกร้อนมาก เพิ่มเพียง 1 – 2 องศาฟาเรนไฮด์ในอีก 100 ปีข้างหน้า www.cfact.org
ในยุคกลางในประวัติศาสตร์มีอยู่ช่วงหนึ่งเรียกว่า Mediaeval Warm Period ซึ่งมีความร้อนสูงกว่าปัจจุบัน เพราะฉะนั้นความร้อนที่อ้างว่าโลกร้อนขึ้นนั้นเป็นเพราะความเปลี่ยนแปลงและความแตกต่างตามวงจรของธรรมชาติ ประมาณ ปี ค.ศ 1975 นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังในสมัยนั้นหลายท่านทำนายว่าจะมียุคน้ำแข็ง (Ice Age: Link 1, Link 2, Link 3) แต่ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ทำนายว่าโลกร้อนขึ้นเมื่อมีการทำนายตรงกันข้ามเช่นนี้แล้วจะให้เราเชื่อฝ่ายไหน
จากภาพที่เห็นในข่าวโทรทัศน์ว่าก้อนน้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือจำนวนมหึมากำลังจะละลายเป็นน้ำอย่างน่ากลัวและจะทำให้น้ำท่วมชายฝั่งและทำให้เกาะต่าง ๆ สูญหายไปและน้ำจะท่วมทั่วไปหมดซึ่งข่าวเหล่านี้ทำให้ผู้คนตื่นตระหนก แต่ความจริงแล้ว ก้อนน้ำแข็งขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ไม่ได้น้อยลง แต่บางช่วงบางเวลาอาจจะมีละลายบ้างและน้ำแข็งเพิ่มขึ้นบ้างตามวงจรของธรรมชาติ (University of Illinois - sea ice: Link 1, Link 2, Link 3, Link 4, Link 5)
ก้อนน้ำแข็ง ice sheet ในประเทศกรีนแลนด์ ก็ยังเป็นปกติอยู่ไม่ได้ลดลงซ้ำยังเพิ่มขึ้น ในปี ค.ศ. 1992 ถึง 2003 เพิ่มขึ้น 5.4 ซ.ม. ต่อปี Johannessen et al. (2005)
ในปี 1995 นักวิทยาศาสตร์ของ IPCC หน่วยงานของสหประชาชาติเกี่ยวกับภาวะอากาศยืนยันว่าตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันไม่มีงานวิจัยรายงานว่าการเปลี่ยนแปลงของภาวะอากาศ (climate-change) ทั้งหมด หรือบางส่วนเกิดจาก
ฝีมือมนุษย์แต่แล้วภายในปีเดียวกันก็กลับมีรายงานว่ามนุษย์เป็นคนทำให้โลกร้อนซึ่งน่าจะมีวาระซ่อนเร้นเกิดขึ้นกับ IPCC
ถ้าเราหยุดทุกอย่างในโลกนี้กลับไปอยู่แบบยุคดึกดำบรรพ์ไม่มีไฟฟ้าไม่มีรถยนต์ไม่มีโรงงานอุตสาหกรรมไม่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล โลกจะเย็นลงเพียง 1/40 องศา C ต่อปีเท่านั้น Waxman-Markey
อะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย ถ้านายกรัฐมนตรีไปลงนามเซ็นสนธิสัญญา (Copenhagen Treaty)กับสหประชาชาติเรื่องโลกร้อน
1. น้ำมัน ไฟฟ้า ค่าขนส่งและค่าเดินทางจะแพงขึ้น 2. ถ้าน้ำมันขึ้นราคา ค่าครองชีพจะสูงขึ้นเพราะสิ่งของแพงขึ้น 3. ค่าโดยสารเครื่องบินแพงขึ้น เพราะต่างประเทศจะเก็บภาษีคาร์บอน เพราะเครื่องบินจะพ่นคาร์บอนออกมา 4. การขับรถยนต์จะน้อยลงเพราะถูกเก็บภาษีคาร์บอนและถูกมองว่าทำลายสิ่งแวดล้อมเพราะใช้น้ำมันที่พ่นคาร์บอนออกมา 5. โรงงานและร้านค้าอาจจะต้องปิดกิจการ 6. เศรษฐกิจแบบตลาดเสรีของประเทศไทยจะถูกต่างชาติควบคุม เพราะ มีกฎหมายภาษีคาร์บอน และในที่สุดอาจจะถูกทำลายและเปลี่ยนแปลงเป็นเศรษฐกิจแบบระบบสังคมนิยมซึ่งเป็นเศรษฐกิจที่ล้มเหลวอย่างแน่นอน 7. ระบบประชาธิปไตยของประเทศไทยซึ่งมีรัฐธรรมนูญอาจจะถูกทำลายไป เพราะ ต่างชาติหรือสหประชาชาติมีอำนาจที่จะมาควบคุมการปกครองของประเทศโดยวิธีเผด็จการโดยเราไม่มีสิทธิ์คัดค้านหรือเลือกเจ้าหน้าที่ของต่างชาติ (รัฐบาลโลก) 8. อำนาจอธิปไตยของเราจะถูกริดรอนเพราะจะมีรัฐบาลโลกที่ใช้วิธีเผด็จการ 9. Copenhagen Treaty จะเริ่มตั้งรัฐบาลโลกซึ่งเป็นรัฐบาลเผด็จการ เราก็ไม่มีสิทธิ์เลือกผู้นำของโลกและเราต้องอยู่ใต้อำนาจหรือคำสั่งของเขาซึ่งเป็นเรื่องอันตรายมาก
สรุปแล้วถ้านายกรัฐมนตรีไปลงนามเซ็นต์สัญญา (Copenhagen Treaty on Global Warming) ประเทศไทยจะได้รับความเสียหายอย่างมากและประชาชนจะตกอยู่ใต้อำนาจของรัฐบาลโลกตลอดไป
สนธิสัญญาโคเปนเฮเกน มีอำนาจเหนือกว่ารัฐธรรมนูญของเรา สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทยที่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญไทยจะถูกยึดและทำลายและเราก็จะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลโลก ถ้ารัฐบาลโลกมีอำนาจกำหนดและเก็บภาษี (เช่น ภาษีคาร์บอน) และควบคุมการใช้พลังงานและควบคุมดูแลสิ่งแวดล้อมซึ่งทั้งหมดนี้จะกระทบต่ออำนาจอธิปไตยของไทย
สรุป เรื่องโลกร้อนจากการกระทำของมนุษย์แล้วจะทำให้เกิดภัยพิบัติเป็นเรื่องหลอกลวงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษนี้ ไม่มีหลักฐานยืนยันว่ามนุษย์จะทำให้ก๊าซ CO2 เพิ่มมากขึ้นจนสามารถเกิดภัยพิบัติ Insert บรรทัดนี้แทน แต่มีหลักฐานจากงานวิจัยเพิ่มขึ้นมากมายโดยตลอดยืนยันว่าโลกร้อนเป็นเรื่องไม่จริง เป็นเรื่องหลอกลวง เช่น งานวิจัยของ MIT (Dr. Richard Lindzen) นักวิจัยที่มีชื่อเสียงด้านภูมิอากาศ โดยใช้เวลา 20 ปี วัดอุณหภูมิเก็บข้อมูลสรุปได้ว่าอุณภูมิของโลกเพิ่มขึ้นจาก กาซ CO2 และก๊าซเรืองกระจกเพียง 1/6 ของตัวเลขที่สหประชาชาติเคยประกาศไว้สำหรับอีก 100 ปี ข้างหน้าอุณหภูมจะ เพิ่มน้อยกว่า 2 องศา F ซึ่งเป็นตัวเลขที่น้อยมากไม่ต้องกลัวว่าโลกจะแตกwww.copenhagenclimatechallenge.org
การประชุมที่โคเปนเฮเกนมีวาระซ่อนเร้น (hidden agenda) การประชุมเรื่องสิ่งแวดล้อม(โลกร้อน)เป็นข้ออ้างที่ทำให้คนกลัวแล้วก็ลงนามในสนธิสัญญาซึ่งเขามีเป้าหมายจะจัดตั้งรัฐบาลโลก
ข้อเสนอต่อนายกรัฐมนตรี - ขอให้ท่านนายกรัฐมนตรีมีความกล้าหาญไม่ร่วมลงนามในสนธิสัญญาเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาโลกร้อน Copenhagen Treaty เพราะเรื่องโลกร้อนไม่ใช่ปัญหาเพราะหากร่วมลงนามแล้วจะยิ่งมีปัญหาเพราะจะเป็นอันตรายต่อสิทธิเสรีภาพ ประชาธิไตย เศรษฐกิจและอำนาจอธิปไตยของเรา
16-12-52 น.พ.โชติช่วง ชุตินธร Dr. Chokchuang Chutinaton M.D. (อดีตประธานชมรมผู้บริโภคแห่งสยาม)
รื่องสนธิสัญญาโลกร้อน Treaty on Global Warming or Climate Change วันที่11-22 พ.ย 2556 ที่กรุงวอซอร์ประเทศโปแลนด์ เป็นการหลอกลวงและบิดเบือนข้อมูลอีกครั้งหนึ่ง
สิบหก ปีที่ผ่านมาโลกไม่ได้ร้อนขึ้น Lord Monckton แถลงในที่ประชุมสหประชาชาติ U.N. Climate Change -Doha เมื่อ ธันวาคม 2555 Link 1, Link 2
ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์อเมริกา กว่า 31,000 คน ยืนยันว่าโลกไม่ได้ร้อนขึ้นจาก CO2 จากฝีมือมนุษย์ ปัจจุบันเราไม่มีหลักฐานยืนยันว่าภาวะโลกร้อนเป็นจริง หรือโลกร้อนเพราะ CO2 โดยที่เกิดจากมนุษย์ เพราะฉะนั้นเรา ไม่มีปัญหา โลกร้อน
Climate-gate (ไคลเมทเกต) คือการเปิดเผยการหลอกลวงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
หนังสือพิมพ์ Telegraph ของอังกฏษ ลงพิมพ์ว่าเป็นเรื่องอื้อฉาวและน่าอับอายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุควิทยาศาสตร์
ใน ปี 2552 มีข่าวไคลเมทเกต (Climate-gate) เกี่ยวกับการบิดเบือนข้อมูลหรืออุปโลกน์ข้อมูลเพื่อลวงโลกและผิดจรรยาบรรณของนักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัย University of East Anglia (Climate Research Unit) ของประเทศอังกฤษที่ทำงานวิจัยเกี่ยวกับภาวะอากาศที่จะทำให้โลกร้อนถูกเปิดเผยเพราะคอมพิวเตอร์ของหน่วยงานวิจัยเกี่ยวกับภาวะอากาศ (CRU) ถูกล้วงข้อมูลหรือถูกแฮค (hacked) และเอา e-mail ออกมาเผยแพร่ทั่วโลกพันกว่าฉบับซึ่งเปิดเผยว่านักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นผิดจรรยาบรรณโดยใช้วิธีปกปิดและบิดเบือนข้อมูลและทำลายข้อมูล และกลั่นแกล้งกีดกันนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่เห็นด้วยว่าโลกจะร้อนเพราะมนุษย์
ที่ผ่านมาสหประชาชาติก็นำข้อมูลที่บิดเบือนเหล่านี้ไปใช้อ้างอิงพิสูจน์ว่ามนุษย์เป็นคนทำให้โลกร้อนและจะเกิดภัยพิบัติร้ายแรงตามมา การนำข้อมูลที่ถูกบิดเบือนคลาดเคลื่อนมายืนยันว่ามีปัญหาจึงไม่ถูกต้อง ยิ่งไปกว่านั้น ทางสหประชาชาติกำลังจะหาทางแก้ปัญหาด้วยการออกกฏหมายสนธิสัญญามาบังคับผู้คนทุกประเทศทั่วโลกให้ใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลเพื่อลดก๊าซคาร์บอนหรือชดเชยกับการปล่อยก๊าซคาร์บอน (carbon tax for carbon debt) ซึ่งจะเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณโดยไม่จำเป็นเพราะเราสร้างปัญหาจากข้อมูลที่ผิดๆ และต้องเสียเงินมหาศาล
สหประชาชาติกล่าวว่าโลกจะร้อนขึ้นเพราะเกิดจาก CO2 และก๊าซเรือนกระจก แต่ความเป็นจริง 16 ปีที่ผ่านมานี้ โลกไม่ได้ร้อนขึ้น ตามงานวิจัย มนุษย์ไม่ได้ทำให้โลกร้อนมาก เพิ่มเพียง 1 – 2 องศาฟาเรนไฮด์ในอีก 100 ปีข้างหน้า www.cfact.org
ในยุคกลางของประวัติศาสตร์มีอยู่ช่วงหนึ่งเรียกว่า Medieval Warm Period ซึ่งมีความร้อนสูงกว่าปัจจุบันซึ่งนักวิทยาศาสตร์ก็ยอมรับว่าเป็นความจริง สมัยนั้นยังไม่มีการปฏิวัติอุตสาหกรรมยังไม่มีโรงงานปล่อยก๊าซคาร์บอน ไม่มีรถยนต์ ไม่มีการใช้เชื้อเพลิงที่มาจากถ่านหิน แต่โลกก็มีภาวะร้อนกว่าปัจจุบัน เพราะฉะนั้นการที่โลกร้อนขึ้นหรือเย็นลง เป็นเพราะความเปลี่ยนแปลงตามวงจรของธรรมชาติ หรือการเปลี่ยนแปลงของดวงอาทิตย์ เช่น solar flares และระยะทางความห่างของดวงอาทิตย์กับโลก ไม่เกี่ยวกับการปล่อยก๊าซคาร์บอนหรือ co2 ที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์
เราถูกหลอกว่าโลกร้อนจะทำให้หมีโพลาน้อยลงหรือสูญพันธุ์ จริงๆแล้วมีงานวิจัยรายงานว่า 40 ปี ที่ผ่านมาหมีโพลาไม่ได้น้อยลง แต่กลับมีมากขึ้น
จากภาพที่เห็นในข่าวโทรทัศน์ว่าก้อนน้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือจำนวนมหึมากำลังจะละลายเป็นน้ำอย่างน่ากลัวและจะทำให้น้ำท่วมชายฝั่งและทำให้เกาะต่าง ๆ สูญหายไปและน้ำจะท่วมทั่วไปหมดซึ่งข่าวเหล่านี้ทำให้ผู้คนตื่นตระหนก แต่ความจริงแล้ว ก้อนน้ำแข็งขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ไม่ได้น้อยลง แต่บางช่วงบางเวลาอาจจะมีละลายบ้างและน้ำแข็งเพิ่มขึ้นบ้างตามวงจรของธรรมชาติ (University of Illinois - sea ice Link 1, Link 2, Link 3, Link 4, Link 5)
อะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย ถ้าเราไปลงนามเซ็นสนธิสัญญา (Treaty on Global Warming) กับสหประชาชาติเรื่องโลกร้อน อ่านบทความ “โลกร้อนจริงไหม” ของ น.พ. โชติช่วง ได้ที่www.doctorfreedom.com ประมาณ 4 ปีก่อน ผู้เขียนๆบทความนี้ (หนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการ วันที่ 24 ธันวาคม 2552 และ Manager Online วันที่ 23 ธันวาคม 2552) คาดการณ์ไว้ว่าสนธิสัญญาโลกร้อน ทำให้เกิดการเก็บภาษีคาร์บอนและ การเสียภาษีคาร์บอนจะทำให้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางแพงขึ้นและสิ่งของจะแพงขึ้นค่าครองชีพสูงขึ้น คนตกงานมากขึ้น ปัจจุบัน เป็นจริงแล้ว และอีกหลายๆอย่างที่วิเคราะห์ล่วงหน้าไว้กำลังจะเกิดขึ้นตามมา
1) E.U. ตกลงที่จะเก็บภาษีคาร์บอนกับเครื่องบินที่บินเข้า E.U. ทำให้ค่าเครื่องบินแพงขึ้นแต่ถูกเลื่อนไปเพราะหลายประเทศประท้วง 2)ประเทศไทยก็เตรียมจะขึ้นภาษีรถยนต์โดยการเก็บภาษีคาร์บอนแต่ชะงักชั่วคราวเพราะเกิดน้ำท่วมใหญ่เมื่อปลายปี 2011 3)ส่วนประเทศ Australia ตั้งแต่วันที 1 กรกฎาคม 2012 เริ่มเก็บภาษีคาร์บอนกับ 300 บริษัท (โรงงานอุตสาหกรรมผลิตเหล็ก เหมืองแร่ สายการบิน และอุตสาหกรรมผลิตพลังงานเชื้อเพลิงเป็นต้น) การเก็บภาษีคาร์บอนนี้ Tony Abbott หัวหน้าพรรคฝ่ายค้านกล่าวว่าวิธีนี้แพงและไม่จำเป็นและจะทำให้คนตกงานและค่าครองชีพจะสูงขึ้นและไม่ได้ช่วยสิ่งแวดล้อม นายโทนี่ให้คำมั่นสัญญาว่าถ้าได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีในป ี2513 นี้เขาจะคว่ำภาษีคาร์บอนอย่างแน่นอน
การประชุมที่ Warsaw, Doha, Mexico, Copenhagen และ Kyoto ต่างก็ มีวาระซ่อนเร้น (hidden agenda) การประชุมเรื่องสิ่งแวดล้อม(โลกร้อน)เป็นข้ออ้างที่ทำให้คนกลัวแล้วก็ลงนามในสนธิสัญญาซึ่งเขามีเป้าหมายจะจัดตั้ง ”รัฐบาลโลก” แบบเผด็จการด้วยการเก็บภาษีคาร์บอนทั่วโลกคือภาษีโลก world tax
สนธิสัญญาโลกร้อน (Treaty on Global Warming) มีอำนาจเหนือกว่ารัฐธรรมนูญของเรา สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทยที่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญไทยจะถูกยึดและทำลายและเราก็จะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของ ”รัฐบาลโลก” ซึ่งเป็นเผด็จการอย่างแน่นอน ถ้ารัฐบาลโลกมีอำนาจกำหนดและเก็บภาษี (เช่น ภาษีคาร์บอน) และควบคุมการใช้พลังงานและควบคุมดูแลสิ่งแวดล้อมซึ่งทั้งหมดนี้จะกระทบต่ออำนาจอธิปไตยของไทย (เพราะฉะนั้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ม. 190 จึงเป็นเรื่องที่อันตรายมาก เพราะขาดการตรวสจสอบของรัฐสภาและประชาชน )
สรุป เรื่องโลกร้อนจากการกระทำของมนุษย์จะทำให้เกิดภัยพิบัติเป็นเรื่องหลอกลวงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษนี้ ไม่มีหลักฐานยืนยันว่ามนุษย์ทำให้คาร์บอนหรือก๊าซ CO2 เพิ่มมากขึ้นจนสามารถเกิดภัยพิบัติ แต่มีหลักฐานจากงานวิจัยเพิ่มขึ้นมากมายโดยตลอดยืนยันว่าโลกร้อนเป็นเรื่องไม่จริง เป็นเรื่องหลอกลวง เช่น งานวิจัยของ MIT (Dr. Richard Lindzen) นักวิจัยที่มีชื่อเสียงด้านภูมิอากาศ โดยใช้เวลา 20 ปี วัดอุณหภูมิเก็บข้อมูลสรุปได้ว่าอุณภูมิของโลกเพิ่มขึ้นจาก ก๊าซ CO2 และก๊าซเรือนกระจกเพียง 1/6 ของตัวเลขที่สหประชาชาติเคยประกาศไว้สำหรับอีก 100 ปี ข้างหน้าอุณหภูมิจะ เพิ่มน้อยกว่า 2 องศา F ซึ่งเป็นตัวเลขที่น้อยมากไม่ต้องกลัวว่าโลกจะแตก
ประเทศไทยไม่ควรร่วมลงนามในสนธิสัญญาเกี่ยวกับ “โลกร้อน” เพราะเรื่อง “โลกร้อน”ไม่ใช่ปัญหาเพราะหากประเทศไทยร่วมลงนามแล้วจะยิ่งมีปัญหาเพราะจะเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจและอำนาจอธิปไตยของเรา และเป็นอันตรายต่อสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยของเรา
การเก็บภาษีคาร์บอนคือการหลอกลวงและขูดรีดเอาเงินภาษีจากประชาชนโดยอ้างว่าจะเอาเงินภาษีคาร์บอนไปแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม UN สหประชาชาติกำลังจัดประชุมเกี่ยวกับเ(ภาวะโลกร้อน) ซึ่งจริงๆแล้วไม่มีปัญหาเพราะ 16 ปีที่ผ่านมาโลกไม่ได้ร้อนขึ้น
น.พ.โชติช่วง ชุตินธร (อดีตประธานชมรมผู้บริโภคแห่งสยาม) 20/11/2013
อ้างอิง Link doctorfreedom.com www.cfact.orgwww.copenhagenclimatechallenge.org
www.climatedepot.com
www.scienceandpublicpolicy.org
www.climatedepot.com
www.scienceandpublicpolicy.org
โลกร้อนจริงไหม? Climate-gate
เขียนโดย น.พ. โชติช่วง ชุตินธร Dr. Chokchuang Chutinaton
เขียนโดย น.พ. โชติช่วง ชุตินธร Dr. Chokchuang Chutinaton
Climate-gate (ไคลเมทเกต) คือการเปิดเผยการหลอกลวงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
หนังสือพิมพ์ Telegraph ของอังกถษ ลงพิมพ์ว่าเป็นเรื่องอื้อฉาวและน่าอับอายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุควิทยาศาสตร์สมัยใหม่
เดือนที่แล้วมีข่าวไคลเมทเกต (Climate-gate) เกี่ยวกับการบิดเบือนข้อมูลหรืออุปโลกน์ข้อมูลเพื่อลวงโลกและผิดจรรยาบรรณของนักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัย University of East Anglia (Climate Research Unit) ของประเทศอังกฤษที่ทำงานวิจัยเกี่ยวกับภาวะอากาศที่จะทำให้โลกร้อนถูกเปิดเผยเพราะคอมพิวเตอร์ของหน่วยงานวิจัยเกี่ยวกับภาวะอากาศ (CRU) ถูกล้วงข้อมูลหรือถูกแฮค (hacked) และเอา e-mail ออกมาเผยแพร่ทั่วโลกพันกว่าฉบับซึ่งเปิดเผยว่านักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นผิดจรรยาบรรณโดยใช้วิธีปกปิดและบิดเบือนข้อมูลและทำลายข้อมูล และกลั่นแกล้งกีดกันนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่เห็นด้วยว่าโลกจะร้อนเพราะมนุษย์
ที่ผ่านมาสหประชาชาติก็นำข้อมูลที่บิดเบือนเหล่านี้ไปใช้อ้างอิงพิสูจน์ว่ามนุษย์เป็นคนทำให้โลกร้อนและจะเกิดภัยพิบัติร้ายแรงตามมา การนำข้อมูลที่ถูกบิดเบือนคลาดเคลื่อนมายืนยันว่ามีปัญหาจึงไม่ถูกต้อง ยิ่งไปกว่านั้น ทางสหประชาชาติกำลังจะหาทางแก้ปัญหาด้วยการออกกฏหมายสนธิสัญญามาบังคับผู้คนทุกประเทศทั่วโลกให้ใช้งบประมาณจำนวนมากเพื่อชดเชยกับการปล่อยกาซคาร์บอน (carbon debt) ซึ่งจะเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณโดยไม่จำเป็นเพราะเราสร้างปัญหาจากข้อมูลที่ผิดๆ
สหประชาชาติกล่าวว่าโลกจะร้อนขึ้นเพราะเกิดจาก CO2 และก๊าซเรือนกระจก แต่ความเป็นจริง 9 ปีที่ผ่านมานี้ โลกเย็นลงไม่ได้ร้อนขึ้น ตามงานวิจัย มนุษย์ไม่ได้ทำให้โลกร้อนมาก เพิ่มเพียง 1 – 2 องศาฟาเรนไฮด์ในอีก 100 ปีข้างหน้า www.cfact.org
ในยุคกลางในประวัติศาสตร์มีอยู่ช่วงหนึ่งเรียกว่า Mediaeval Warm Period ซึ่งมีความร้อนสูงกว่าปัจจุบัน เพราะฉะนั้นความร้อนที่อ้างว่าโลกร้อนขึ้นนั้นเป็นเพราะความเปลี่ยนแปลงและความแตกต่างตามวงจรของธรรมชาติ ประมาณ ปี ค.ศ 1975 นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังในสมัยนั้นหลายท่านทำนายว่าจะมียุคน้ำแข็ง (Ice Age: Link 1, Link 2, Link 3) แต่ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ทำนายว่าโลกร้อนขึ้นเมื่อมีการทำนายตรงกันข้ามเช่นนี้แล้วจะให้เราเชื่อฝ่ายไหน
จากภาพที่เห็นในข่าวโทรทัศน์ว่าก้อนน้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือจำนวนมหึมากำลังจะละลายเป็นน้ำอย่างน่ากลัวและจะทำให้น้ำท่วมชายฝั่งและทำให้เกาะต่าง ๆ สูญหายไปและน้ำจะท่วมทั่วไปหมดซึ่งข่าวเหล่านี้ทำให้ผู้คนตื่นตระหนก แต่ความจริงแล้ว ก้อนน้ำแข็งขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ไม่ได้น้อยลง แต่บางช่วงบางเวลาอาจจะมีละลายบ้างและน้ำแข็งเพิ่มขึ้นบ้างตามวงจรของธรรมชาติ (University of Illinois - sea ice: Link 1, Link 2, Link 3, Link 4, Link 5)
ก้อนน้ำแข็ง ice sheet ในประเทศกรีนแลนด์ ก็ยังเป็นปกติอยู่ไม่ได้ลดลงซ้ำยังเพิ่มขึ้น ในปี ค.ศ. 1992 ถึง 2003 เพิ่มขึ้น 5.4 ซ.ม. ต่อปี Johannessen et al. (2005)
ในปี 1995 นักวิทยาศาสตร์ของ IPCC หน่วยงานของสหประชาชาติเกี่ยวกับภาวะอากาศยืนยันว่าตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันไม่มีงานวิจัยรายงานว่าการเปลี่ยนแปลงของภาวะอากาศ (climate-change) ทั้งหมด หรือบางส่วนเกิดจาก
ฝีมือมนุษย์แต่แล้วภายในปีเดียวกันก็กลับมีรายงานว่ามนุษย์เป็นคนทำให้โลกร้อนซึ่งน่าจะมีวาระซ่อนเร้นเกิดขึ้นกับ IPCC
ถ้าเราหยุดทุกอย่างในโลกนี้กลับไปอยู่แบบยุคดึกดำบรรพ์ไม่มีไฟฟ้าไม่มีรถยนต์ไม่มีโรงงานอุตสาหกรรมไม่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล โลกจะเย็นลงเพียง 1/40 องศา C ต่อปีเท่านั้น Waxman-Markey
อะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย ถ้านายกรัฐมนตรีไปลงนามเซ็นสนธิสัญญา (Copenhagen Treaty)กับสหประชาชาติเรื่องโลกร้อน
1. น้ำมัน ไฟฟ้า ค่าขนส่งและค่าเดินทางจะแพงขึ้น 2. ถ้าน้ำมันขึ้นราคา ค่าครองชีพจะสูงขึ้นเพราะสิ่งของแพงขึ้น 3. ค่าโดยสารเครื่องบินแพงขึ้น เพราะต่างประเทศจะเก็บภาษีคาร์บอน เพราะเครื่องบินจะพ่นคาร์บอนออกมา 4. การขับรถยนต์จะน้อยลงเพราะถูกเก็บภาษีคาร์บอนและถูกมองว่าทำลายสิ่งแวดล้อมเพราะใช้น้ำมันที่พ่นคาร์บอนออกมา 5. โรงงานและร้านค้าอาจจะต้องปิดกิจการ 6. เศรษฐกิจแบบตลาดเสรีของประเทศไทยจะถูกต่างชาติควบคุม เพราะ มีกฎหมายภาษีคาร์บอน และในที่สุดอาจจะถูกทำลายและเปลี่ยนแปลงเป็นเศรษฐกิจแบบระบบสังคมนิยมซึ่งเป็นเศรษฐกิจที่ล้มเหลวอย่างแน่นอน 7. ระบบประชาธิปไตยของประเทศไทยซึ่งมีรัฐธรรมนูญอาจจะถูกทำลายไป เพราะ ต่างชาติหรือสหประชาชาติมีอำนาจที่จะมาควบคุมการปกครองของประเทศโดยวิธีเผด็จการโดยเราไม่มีสิทธิ์คัดค้านหรือเลือกเจ้าหน้าที่ของต่างชาติ (รัฐบาลโลก) 8. อำนาจอธิปไตยของเราจะถูกริดรอนเพราะจะมีรัฐบาลโลกที่ใช้วิธีเผด็จการ 9. Copenhagen Treaty จะเริ่มตั้งรัฐบาลโลกซึ่งเป็นรัฐบาลเผด็จการ เราก็ไม่มีสิทธิ์เลือกผู้นำของโลกและเราต้องอยู่ใต้อำนาจหรือคำสั่งของเขาซึ่งเป็นเรื่องอันตรายมาก
สรุปแล้วถ้านายกรัฐมนตรีไปลงนามเซ็นต์สัญญา (Copenhagen Treaty on Global Warming) ประเทศไทยจะได้รับความเสียหายอย่างมากและประชาชนจะตกอยู่ใต้อำนาจของรัฐบาลโลกตลอดไป
สนธิสัญญาโคเปนเฮเกน มีอำนาจเหนือกว่ารัฐธรรมนูญของเรา สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทยที่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญไทยจะถูกยึดและทำลายและเราก็จะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลโลก ถ้ารัฐบาลโลกมีอำนาจกำหนดและเก็บภาษี (เช่น ภาษีคาร์บอน) และควบคุมการใช้พลังงานและควบคุมดูแลสิ่งแวดล้อมซึ่งทั้งหมดนี้จะกระทบต่ออำนาจอธิปไตยของไทย
สรุป เรื่องโลกร้อนจากการกระทำของมนุษย์แล้วจะทำให้เกิดภัยพิบัติเป็นเรื่องหลอกลวงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษนี้ ไม่มีหลักฐานยืนยันว่ามนุษย์จะทำให้ก๊าซ CO2 เพิ่มมากขึ้นจนสามารถเกิดภัยพิบัติ Insert บรรทัดนี้แทน แต่มีหลักฐานจากงานวิจัยเพิ่มขึ้นมากมายโดยตลอดยืนยันว่าโลกร้อนเป็นเรื่องไม่จริง เป็นเรื่องหลอกลวง เช่น งานวิจัยของ MIT (Dr. Richard Lindzen) นักวิจัยที่มีชื่อเสียงด้านภูมิอากาศ โดยใช้เวลา 20 ปี วัดอุณหภูมิเก็บข้อมูลสรุปได้ว่าอุณภูมิของโลกเพิ่มขึ้นจาก กาซ CO2 และก๊าซเรืองกระจกเพียง 1/6 ของตัวเลขที่สหประชาชาติเคยประกาศไว้สำหรับอีก 100 ปี ข้างหน้าอุณหภูมจะ เพิ่มน้อยกว่า 2 องศา F ซึ่งเป็นตัวเลขที่น้อยมากไม่ต้องกลัวว่าโลกจะแตกwww.copenhagenclimatechallenge.org
การประชุมที่โคเปนเฮเกนมีวาระซ่อนเร้น (hidden agenda) การประชุมเรื่องสิ่งแวดล้อม(โลกร้อน)เป็นข้ออ้างที่ทำให้คนกลัวแล้วก็ลงนามในสนธิสัญญาซึ่งเขามีเป้าหมายจะจัดตั้งรัฐบาลโลก
ข้อเสนอต่อนายกรัฐมนตรี - ขอให้ท่านนายกรัฐมนตรีมีความกล้าหาญไม่ร่วมลงนามในสนธิสัญญาเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาโลกร้อน Copenhagen Treaty เพราะเรื่องโลกร้อนไม่ใช่ปัญหาเพราะหากร่วมลงนามแล้วจะยิ่งมีปัญหาเพราะจะเป็นอันตรายต่อสิทธิเสรีภาพ ประชาธิไตย เศรษฐกิจและอำนาจอธิปไตยของเรา
16-12-52 น.พ.โชติช่วง ชุตินธร Dr. Chokchuang Chutinaton M.D. (อดีตประธานชมรมผู้บริโภคแห่งสยาม)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น