เช้ามืดของวันที่ 26 ก.ค.2556 เป็นปฐมบทของข่าวน้ำมันดิบกว่า 50,000 ลิตร รั่วไหลลงสู่ทะเลใกล้ชายฝั่งมาบตาพุด จ.ระยอง ของ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ พีทีทีจีซี (บริษัทในเครือ ปตท.) ที่เริ่มปรากฏต่อสาธารณะผ่านสื่อต่างๆ ในเวลาไล่เลี่ยกัน แต่ข้อมูลจากแหล่งข่าวท่านหนึ่งยืนกร้านว่า ทางผู้บริหารพยายามปกปิดข้อมูลต่อสาธารณะชน
เรื่องแรก ที่ทำให้ถูกตั้งข้อสังเกตถึงการปกปิดข้อเท็จจริง คือ น้ำมันดิบรั่วล่วงเลยมากว่า 7 ชม. ก่อนเป็นข่าวครึกโครม
เรื่องที่สอง ในเวลาถัดมา ผู้บริหาร พีทีทีจีซี ได้ให้สัมภาษณ์อย่างหนักแน่น กลายๆ ว่า ..เหตุการณ์ดังกล่าวควบคุมได้แล้ว ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง..
แต่วันรุ่งขึ้น! ภาพข่าวที่แพร่สะพัดไปทั่วโลกกลับตรงกันข้าม กับบทสัมภาษณ์โลกสวยของผู้บริหารฯ เพราะคราบน้ำนับดิบจำนวนมหาศาลลุกล้ำเข้ามายังบริเวณ อ่าวพร้าว เกาะเสม็ด จ.ระยอง น้ำทะเลถูกกลืนด้วยคราบดำตกอยู่ในภาวะวิกฤติเป็นที่เรียบร้อย นอกจากนี้ยังมีการตั้งข้อสงสัยถึงปริมาณน้ำมันที่รั่วออกมา 50,000 ลิตร ดังที่มีได้ให้ข้อมูลจริงหรือไม่ เพราะขัดแย้งกับปริมาณที่ประเมินด้วยสายตาเสียกระไร
เหตุการณ์น้ำมันรั่วในครั้งนี้ ถือเป็นหายนะต่อธรรมชาติต่อระบบนิเวศในบริเวณใกล้เคียง กระทบคุณภาพความเป็นอยู่ของประชนชนในพื้นที่ กระทบอย่างรุนแรงในเรื่องของการท่องเที่ยวเกี่ยวโยงไปถึงเศรษฐกิจระดับชาติ
ในเรื่องการดำเนินการแก้ไขเห็นได้ชัดว่ายังขาดประสิทธิภาพ จะว่าไปนี่ก็ไม่ใช่เหตุการณ์น้ำมันรั่วลงทะเลครั้งแรกในประเทศไทย ก่อนหน้าเคยมีบทเรียนมาแล้วแต่ทำไมการจัดการยังหละหลวม ยังทำได้เพียงแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ใช้ลมปากพูดกลบเกลื่อนหายนะที่กำลังเกิดขึ้น
กลิ้งไว้ก่อน พีทีทีจีซี (ปตท. สอนไว้)
“คำชี้แจงของผู้บริหาร พีทีทีจีซี กรณีน้ำมันรั่ว เขาบอกเสร็จเรียบร้อย น้ำทะเลใสเหมือนเดิมแล้ว บอกเมื่อวันที่ 28 ก.ค. 56 รุ่งขึ้นวันที่ 29 ก.ค.56 น้ำมันเข้าอ่าวพร้าวทะเลฟ้าใสกลายเป็นทะเลดำ แล้วต่อไปข้อมูลจากบริษัทนี้จะได้รับความเชื่อถือได้อย่างไร” ข้อความจากเฟซบุ๊กเพจ สายตรงภาคสนาม
เรียกว่าสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นนั้นไกลลิบกับคำกล่าวอ้างของผู้บริหาร งานนี้โดนธรรมชาติตีแสกหน้าเจ้าตัว อนนต์ สิริแสงทักษิณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีที โกลบอลฯ จึงออกมาชี้แจ้งน้อมรับความผิดพลาดโดยยอมจำนนด้วยหลักฐาน
“ผมในฐานะผู้บริหารสูงสุดของพีทีที โกลบอลฯ ขอยอมรับผิดต่อสังคมและเสียใจ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และสร้างความสับสนว่าสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ แต่ก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันที่มีน้ำมันดิบบางส่วนไปถึงเกาะเสม็ด บริษัทพร้อมที่จะรับผิดชอบ”
น้ำมันรั่ว เกาะเสม็ด เจาะข่าวเด่นสัมภาษณ์ผู้ว่าฯ ระยอง-ปตท.เหตุน้ำมันรั่ว
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก
คุณ ThaiTV19 สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม
เป็นเรื่องที่น่าวิตกไม่น้อยเลยทีเดียว...สำหรับกรณีที่ท่อน้ำมันดิบกลางทะเลของ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท. เกิดรั่วไหล เมื่อช่วงเช้าวันที่ 27 กรกฎาคม 2556 ส่งผลให้น้ำมันดิบจำนวน 5 หมื่นลิตร ไหลลงสู่ทะเลระยอง โดยเจ้าหน้าที่ได้ทำการฉีดพ่นสารเคมี เพื่อสลายคราบน้ำมัน แต่ก็ไม่ได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์เมื่อยังมีคราบน้ำมันเล็ดลอดใต้ทุ่น บวกกับกระแสคลื่นลมแรง ทำให้คราบน้ำมันทะลักเข้ามายังชายฝั่งอ่าวพร้าว ก่อนที่ทางผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง จะประกาศให้อ่าวพร้าวเป็นพื้นที่ภัยพิบัติทางทะเล
เคยเห็นแต่ในค่างประเทศ ไม่นึกไม่ฝันว่าภาพนี้จะมีวันเกิดขึ้นในไทยได้ ไม่แน่!ในทุกสิ่ง
เมื่อวันที่ 29 ก.ค.2556 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวิชิต ชาตไพสิฐ ผวจ.ระยอง พร้อมด้วยนายพรเทพ บุตรนิพัทธ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัทพีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ระดมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ทหารจากกองพันทหารราบที่ 7 จ.ระยอง และหน่วยนาวิกโยธิน สัตหีบจ.ชลบุรี กว่า 300 นายเพื่อเร่งกำจัดคราบน้ำมันที่ทะลักเข้าอ่าวพร้าว เกาะเสม็ด จนทะเลดำเป็นสีดำทั้งหาด ส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว ส่งผลกระทบการท่องเที่ยวรีสอร์ตปิดร้าง ไร้เงานักท่องเที่ยว
การเฝ้าระวังชายฝั่ง พบกลุ่มคราบน้ำมันประมาณ 500 ตารางเมตร เคลื่อนตัวมาตามกระแสลม ห่างเกาะเสม็ดประมาณ 2 กิโลเมตร จึงเร่งให้กลุ่มบริษัท ปตท. นำทุ่นไปสกัดกั้นคราบน้ำมัน
น้ำอาจจะ "ใส" แล้ว แต่ผลกระทบในพื้นที่ทะเลระยองรวมถึงบริเวณใกล้เคียงยังคงมีอยู่จริง และผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศ (ซึ่งย่อมกระทบต่อมนุษย์ในที่สุด) ไม่สามารถหายไปในระยะเวลาสั้นๆ ได้
เริ่มต้นด้วยการพูดความจริง เปิดเผยข้อเท็จจริง เพื่อร่วมกันหาหนทางเยียวยาแก้ไขให้ถูกจุด รวมถึงหาทางป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นทั้งในระยะสั้นและระยาว